คอนกรีตผสมเสร็จ กับประเภทในการใช้งาน

คอนกรีตผสมเสร็จ กับประเภทในการใช้งาน คอนกรีตผสมเสร็จมีหลายประเภท เราควรเลือกให้เหมาะสมกับประเภทในการใช้งาน ซึ่งคอนกรีตผสมเสร็จที่ดีควรที่จะมีการใช้สัดส่วนที่เหมาะสม มีการควบคุมการทำคออนกรีต ตั้งแต่การชั่งตวง การผสม การเท การแต่งผิว การบ่ม ซึ่งคอนกรีตผสมเสร็จ ความมีคุณสมบัติที่ดีทั้งในสภาพที่เหลวและในสภาพที่แข็งตัวแล้ว คอนกรีตผสมเสร็จมีให้เลือกหลากหลายไม่ว่าจะเป็นแบบใช้งานทั่วไป แบบที่ทนทานกับการใช้งานหนักๆ และแบบพิเศษเฉพาะทางจริง ๆ หากมีการแบ่งประเภทคอนกรีตตามการใช้งาน เราสามารถแบ่งได้ดังนี้   คอนกรีตมาตรฐาน คือคอนกรีตผสมเสร็จทั่วไป ออกแบบให้มีกำลังอัดตั้งแต่ 180-400 กก./ตร.ซม. เหมาะสำหรับงานโครงสร้างทั่วไปเช่น เสา คาน ฐานราก เป็นต้น   คอนกรีตกันซึม เป็นคอนกรีตที่มีคุณสมบัติพิเศษคือ มีความทึบน้ำ น้ำจึงซึมผ่านได้ยากหรืออัตราการไหลผ่านของน้ำเป็นไปได้ช้า เหมาะสำหรับงาน สระว่ายน้ำ ถังเก็บน้ำ พื้นห้องน้ำ รวมทั้งโครงสร้างที่ต้องสัมผัสน้ำใต้ดิน คอนกรีตสี เป็นคอนกรีตที่ถูกออกแบบมาสำหรับงานตกแต่งเพื่อเพิ่มความสวยงาม โดยผสมสีลงไปในคอนกรีต เพื่อให้ได้เฉดสีตามที่ต้องการ นิยมใช้เป็นคอนกรีตเททับหน้า หรืองานตกแต่งอื่นๆ เช่น ทางเท้า ลานบริเวณหน้าศูนย์การค้า คอนกรีตพรุน คอนกรีตที่ถูกออกแบบมาให้มีปริมาณช่องว่างในเนื้อคอนกรีตที่เหมาะสม สามารถระบายน้ำได้ดี เหมาะสำหรับพื้นที่ที่ต้องการการระบายน้ำได้ดี เช่น พื้นลานจอดรถ…

6 วิธีเช็คคุณภาพของ ปูนซีเมนต์ ง่ายนิดเดียว คุณเองก็ทำได้

ปูนซีเมนต์ เป็นหนึ่งในวัสดุก่อสร้างที่ถูกใช้มากที่สุดในวงการก่อสร้าง ความแข็งแรงของงานโครงสร้างจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆอย่าง และหนึ่งในนั้นก็คือคุณภาพของ ปูนซีเมนต์ที่ใช้งาน ซึ่งวันนี้ทาง YELLO วัสดุก่อสร้างก็มี 6 วิธีเช็คคุณภาพของปูนซีเมนต์ มาฝากพี่ๆ ทุกคนกันนะจ๊ะ การเช็คคุณภาพของปูนซีเมนต์ เราสามารถทดสอบด้วยวิธีง่ายๆ ตามด้านล่างนี้ 1. ทดสอบสี สีที่ดีที่สุดของปูนซีเมนต์ คือสีเทา และสีควรออกไปในโทนแกมเขียว (greenish shade) สีของปูนซีเมนต์จะเป็นตัวประเมิณคร่าวๆ ถึงคุณภาพของซีเมนต์ว่ามีส่วนผสมของปูนขาวหรือดินเหนียวมากเกินไปหรือไม่ หากสัดส่วนใดมากเกินไป สีของซีเมนต์จะไม่ใช่สีเทาแกมเขียว   2. สังเกตการยึดเกาะกันเป็นก้อนของปูนซีเมนต์ ปูนซีเมนต์ที่ดีไม่ควรเกาะกันเป็นก้อน ควรเป็นผงละเอียด เพราะถ้าหากซีเมนต์เกาะกันเป็นก้อน แสดงว่ามีความชื้นอยู่มาก และบรรจุภัณฑ์ควรอยู่ในสภาพดี ไม่มีรู หรือชำรุด เนื่องจากอาจทำให้ความชื้นเข้าไปได้   3. ทดสอบด้วยอุณภูมิ ง่ายมากๆเลย คือการใช้มือล้วงเข้าไปสัมผัส หากซีเมนต์มีคุณภาพที่ดี มันจะทำให้พี่ๆ รู้สึกเย็นๆ   4. ทดสอบด้วยการลอย ในการทดสอบการลอย เราจะนำปูนซีเมนต์จำนวนหนึ่งมาใส่ไว้บนฝ่ามือ และโปรยมันลงไปในน้ำที่อยู่ในถ้วย ถ้าหากซีเมนต์ลอยอยู่บนน้ำแสดงว่าซีเมนต์มีคุณภาพแย่ เนื่องจากปกติแล้ว ซีเมนต์ที่มีคุณภาพดี ควรมีน้ำหนักมากกว่าน้ำนั่นเอง   5.…

การเทคอนกรีตทับหน้า และขั้นตอนการเทคอนกรีตทับหน้าแบบ

การเทคอนกรีตทับหน้า คือการเทคอนกรีตทับหน้าพื้นคอนกรีตเดิมที่มีอยู่ โดยมักใช้ซ่อมแซมผิวหน้าคอนกรีตเดิมที่มีความเสียหายหรือสึกกร่อน หรือต้องการปรับปรุงผิวหน้าพื้นเดิมให้แข็งแกร่งขึ้น โดยรูปแบบการเทคอนกรีตทับหน้านิยมทำกันมี 3 แบบ 1. การเทคอนกรีตทับแบบเชื่อมประสานสมบูรณ์ เป็นการเททับหลังจากกระเทาะผิวเดิม ทำความสะอาดผิว และทาวัสดุเลื่อมประสาน โดยการใช้วัสดุเชื่อมประสานจะทำให้คอนกรีตที่เทใหม่เชื่อมกับพื้นเดิมได้ดี ก่อนที่จะเทคอนกรีตทับหน้าตามลงไป รูปแบบนี้ความหนาของคอนกรีตต่ำสุดที่เทได้ 2.5 – 5 เซนติเมตร โดยพื้นเดิมต้องอยู่ในสภาพดี สะอาด ไม่มีรอยแตกร้าว การเทคอนกรีตที่มีความหนาต่ำกว่า 2.5 เซนติเมตรมีโอกาสเกิดการแตกร้าว การโก่ง และหลุดร่อนของชั้นเททับหน้า เพราะโดยทั่วไปการเทคอนกรีตทับหน้าที่มีความหนาน้อยจะใช้คอนกรีตที่ผสมหินขนาดเล็กกว่า 10 มิลลิเมตร ใส่ปริมาณทรายที่มากกว่าปกติ ทำให้ใช้น้ำในการผสมที่มากกว่าปกติ จึงทำให้เกิดการหกตัวของคอนกรีต มากกว่าคอนกรีตปกติที่ใช้หินขนาดใหญ่และใส่ทราบในส่วนผสมน้อย 2. การเทคอนกรีตทับหน้าแบบเชื่อมประสานบางส่วน เป็นการเทบนพื้นที่ทำความสะอาดแล้ว แต่ไม่ได้กระเทาะผิวเดิมก่อนทาวัสดุเชื่อมประสาน และเทคอนกรีตลงไป การเททับหน้าแบบเชื่อมประสานบางส่วน ความหนาต่ำสุดของการเททับหน้าอยู่ที่ 10 เซนติเมตร พื้นเดิมจะต้องสามารถทำหน้าที่เป็นชั้นรองของวัสดุเททับหน้าเป็นอย่างดี ไม่มีการแตกร้าว จึงจะสามารถใช้การเททับหน้าวิธีนี้ได้ 3. การเทคอนกรีตทับหน้าแบบไม่เชื่อมประสาน เป็นการเททับหน้าโดยมีการปูวัสดุบนพื้นเดิมก่อนเทคอนกรีตใหม่ลงไป วัสดุที่ปูจะทำให้พื้มเดิมกับคอนกรีตที่เททับหน้าใหม่ไม่ประสานติดกัน การเททับหน้าวิธีนี้มักใช้พื้นคอนกรีตเดิมที่อยู่ในสภาพที่ไม่ดี เช่น มีรอยแตกร้าวต่าง ๆ เป็นต้น…

แผ่นพื้นคอนกรีต VS พื้นหล่อในที่ เรื่องพื้น ๆ ที่ไม่ควรมองข้าม

หากว่ากันด้วยการก่อสร้างอาคารบ้านเรือนนั้น เรื่องของโครงสร้างเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะเราต้องคำนึงถึงเรื่องของ ความแข็งแรงและคงทนของตัวโครงสร้างเป็นอันดับต้น ๆ ของส่วนทั้งหมด เพราะโครงสร้างของบ้านจะเป็นตัวรับภาระน้ำหนักต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายในบ้าน รวมถึงการเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหว หากโครงสร้างไม่ได้มาตรฐาน ก็จะมีโอกาสทำให้บ้านเกิดการเสียหาย หรือพังทลายได้ง่าย แต่กลับกันหากโครงสร้างของบ้านมีความแข็งแรง ก็จะช่วยลดการสูญเสียลงไปได้มาก พื้นบ้านจัดเป็นส่วนสำคัญอันดับต้นๆ ของโครงสร้างภายในบ้าน เนื่องจากต้องรับน้ำหนักจากแนวดิ่งโดยตรง ไม่ว่าเราจะวางสิ่งของ เครื่องใช้ รวมถึงวัสดุก่อสร้างของบ้านทั้งหลังล้วนแล้วแต่เป็นภาระของพื้นบ้านทั้งสิ้น วัสดุที่ใช้ทำโครงสร้างของพื้นบ้านก็มีด้วยกันหลากหลายชนิด หนึ่งในวัสดุที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายก็คือ แผ่นพื้นคอนกรีตสำเร็จรูป เนื่องจากราคาแผ่นพื้นจัดอยู่ในระดับที่ไม่แพง และยังมีความแข็งแรง คุ้มค่าในการใช้งาน ไม่ต้องเสียเวลาทำไม้แบบ รวมถึงมีขนาดและความหนาให้เลือกตามการใช้งาน นอกจากนี้ยังมีพื้นอีกประเภทที่นิยมใช้ไม่แพ้กัน และใช้กันมาอย่างยาวนานแล้ว นั่นก็คือพื้นหล่อคอนกรีต ซึ่งจะใช้ไม้แบบ และการผูกเหล็กในการขึ้นแบบ และใช้คอนกรีตผสมเสร็จเทไปตามแม่แบบเพื่อให้ได้รูปทรง และการรับน้ำหนักตามที่กำหนด (ต้องมีผู้เชี่ยวชาญในการดูแล และคำนวณการรับน้ำหนักให้ได้มาตรฐาน) หลังจากนั้นก็รอให้คอนกรีตผสมเสร็จเซ็ตตัวจนสามารถใช้งานได้ หากจะให้สรุปว่าแผ่นพื้นคอนกรีตสำเร็จรูป หรือพื้นหล่อคอนกรีตในที่ แบบไหนดีกว่ากัน ก็คงขึ้นอยู่กับการนำไปใช้งาน เพราะว่าแต่ละประเภทก็มีข้อดีแตกต่างกันไป แผ่นพื้นคอนกรีต มีความสะดวก คล่องตัว ราคาประหยัด และสามารถรับน้ำหนักที่ได้มาตรฐาน แต่พื้นหล่อคอนกรีตในที่ ต้องใช้เวลาในการติดตั้ง มีราคาค่อนข้างสูง แต่มีความแข็งแรงมาก…

“กำลังอัดคอนกรีต” ก่อนสั่ง-ก่อนซื้อคอนกรีต เช็คให้ดีก่อน

ปัจจุบัน คอนกรีตผสมเสร็จ ถูกจัดอยู่ในวัสดุที่เป็นองค์ประกอบหลักของงานก่อสร้างในประเทศไทย เพราะไม่ว่าจะก่อสร้างบ้านอาคารประเภทใดก็ตาม ล้วนต้องมีเจ้าตัวคอนกรีตผสมเสร็จอยู่ในกระบวนการใดกระบวนการหนึ่งอยู่เสมอ เช่น เทคาน เทเสา เทพื้น หรือแม้แต่ดาดฟ้า แล้วพี่ๆ เคยได้ยินไหมกับประโยคที่ว่า “สั่งคอนกรีตกำลังเท่าไร?” หากใครทำงานเกี่ยววงการก่อสร้างก็คงจะคุ้นหูคุ้นตากันอยู่ประจำใช่ไหมคะ แล้ว “กำลังคอนกรีต” มันคืออะไรกันครับเนี่ย.. ? กำลังคอนกรีต หมายถึง ความสามารถในการรับกำลังของคอนกรีตผสมเสร็จ สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท นั่นก็คือกำลังอัดของคอนกรีตรูปทรงกระบอก (Cylinder)  และกำลังอัดคอนกรีตรูปทรงลูกบาศก์ (Cube) ซึ่งในประเทศไทยใช้กำลังอัดของคอนกรีต “รูปทรงกระบอก” เป็นมาตรฐานในการออกแบบนะจ๊ะ ขอบคุณภาพจาก engfanatic.tumcivil.com ตัวเลข 240 / 280 / 300 ksc บ่งบอกถึงอะไร ? ยิ่งอ่านยิ่งงง ยิ่งปวดหัว เดี๋ยว YELLO วัสดุก่อสร้างจะยกตัวอย่างให้พี่ ๆ ได้เข้าใจง่ายขึ้นนะ ksc ย่อมาจาก kilogram square centimetre. หรือก็คือกิโลกรัมต่อตารางเซนติเมตรนั่นเอง โดยปกติแล้ว “กำลังคอนกรีต” ที่เราใช้กันเป็นมาตรฐานก็คือกำลังคอนกรีตที่…

“ปูนซีเมนต์” กับความแตกต่างแต่ละประเภท

หากพูดถึง ปูนซีเมนต์ แล้ว แน่นอนว่าคนที่อยู่ในวงการก่อสร้างส่วนใหญ่มักรู้จักและคุ้นเคยกันดี เพราะปูนซีเมนต์ถือเป็นหัวใจสำคัญในการก่อสร้าง โดยเฉพาะงานก่อสร้างด้านโครงสร้างต่างๆ เนื่องจากเป็นวัสดุก่อสร้างที่มีความทนทานแข็งแรง และได้รับความนิยมในทุกๆ งานก่อสร้าง ซึ่งบทความนี้เราจะมาดูกันว่าปูนซีเมนต์แต่ละประเภทมีความแตกต่างในแง่ของการใช้งานอย่างไรบ้าง ปูนมอตาร์และปูนสำเร็จรูป ปูนประเภทนี้จะมีส่วนผสมของหินบดละเอียด ปูนซีเมนต์ และสารผสมพิเศษสำหรับการผลิต โดยจะมีการควบคุมสัดส่วนการใช้ส่วนผสม คุณภาพของวัตถุดิบให้มีความเป็นมาตรฐาน สม่ำเสมอ และได้คุณสมบัติที่เหมาะสมกับการนำไปใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งมีความสะดวกในการใช้งานเป็นอย่างดี เพราะผู้ใช้สามารถนำผลิตภัณฑ์ปูนมอร์ตาร์ไปผสมกับน้ำในปริมาณสัดส่วนที่กำหนดไว้ ก็สามารถใช้งานได้ทันทีโดยไม่ต้องใช้ส่วนผสมอื่น ๆ เพิ่มเติม นอกจากนี้ปูนมอตาร์ยังมีการแบ่งประเภทตามการใช้งานที่หลากหลาย อย่างเช่น การใช้งานฉาบทั่วไป งานก่อทั่วไป งานฉาบละเอียด งานปรับระดับพื้นผิว รวมไปถึงงานซ่อมแซมต่าง ๆ และอีกมากมาย ซึ่งผู้ใช้ก็ต้องเลือกผลิตภัณฑ์ปูนมอตาร์ให้เหมาะกับงานประเภทนั้น ๆ ด้วย เพื่อสามารถใช้งานอย่างถูกต้องและไม่เกิดปัญหาในภายหลัง ปูนซีเมนต์ ประเภทก่อ-ฉาบ-เท ปูนประเภทนี้จะมีกำลังอัดต่ำกว่าปูนซีเมนต์ระเภทปอร์ตแลด์ ทำให้ไม่เหมาะแก่การนำมาใข้งานก่อสร้างด้านโครงสร้างอย่าง เสา คาน พื้น ที่ต้องรับน้ำหนักของโครงสร้างอาคารในส่วนต่าง ๆ แต่ในทางกลับกันปูนประเภทนี้สามารถนำมาใช้ในงานก่อ-ฉาบ-เท ได้อย่างดีมีประสิทธิภาพสูง เนื่องจากถูกออกแบบมาให้มีคุณสมบัติในการใช้งานเฉพาะทางนั้น ๆ อย่างเช่น งานก่อ จะใช้ปูนซีเมนต์ผสม (Mix Cement) ที่มีคุณสมบัติเหนียว…

คอนกรีตผสมเสร็จ vs ผสมปูนเอง แบบไหนคุ้มค่า แข็งแรง

ในปัจจุบันนี้คอนกรีตมีความสำคัญกับงานก่อสร้างค่อนข้างมากพอสมควร เมื่อเปรียบเทียบวัสดุก่อสร้างที่ใช้งานในประเภทเดียวกัน เช่น ไม้ ซึ่งเป็นวัสดุก่อสร้างหลักในสมัยก่อนและปัจจุบันไม้เป็นของหายาก พบว่า คอนกรีตมีความคงทน แข็งแรง สามารถปรับปรุงส่วนผสมเพื่อให้ตรงกับการใช้งานได้อย่างเหมาะสม คอนกรีตจึงเป็นวัสดุที่ใช้งานอย่างแพร่หลาย แต่หลายคนอาจยังสงสัยว่าจะเลือกใช้สูตรไหน ระหว่างคอนกรีตผสมเสร็จ หรือ ผสมปูนใช้เอง คอนกรีต คืออะไร คอนกรีต เป็นวัสดุผสมที่นิยมใช้ในงานก่อสร้างประกอบด้วย 3 ส่วนหลักคือ ปูนซีเมนต์ วัสดุผสม (เช่น หิน ทราย หรือ กรวด) และ น้ำ โดยอาจจะมีสารเคมีเติมเพิ่มเข้าไปสำหรับคุณสมบัติด้านอื่น เมื่อผสมเสร็จคอนกรีตจะแข็งตัวอย่างช้าๆ ซึ่งน้ำและซีเมนต์จะทำปฏิกิริยาทางเคมีกันในลักษณะที่เรียกว่าการไฮเดรชัน โดยซีเมนต์จะเริ่มจับตัวกับวัสดุอื่นและแข็งตัว ซึ่งในสถานะนี้จะนิยมเรียกกันว่าคอนกรีต ความแข็งแรงของคอนกรีตจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หลังจากที่ผสม และยังแข็งแรงขึ้นภายหลังจากการแข็งตัว โดยประมาณหลังจากแข็งตัวแล้ว 28 วัน ความแข็งแรงจะเริ่มคงที่ ทำไมคอนกรีต จึงแข็งแรง คอนกรีตมีใช้กันในงานก่อสร้างหลายชนิด ซึ่งรวมถึง อาคาร ถนน เขื่อน สะพาน อนุสาวรีย์ และงานก่อสร้างต่างๆ ซึ่งมีเห็นได้ทั่วไป คุณสมบัติหลักของคอนกรีตคือการรับแรงอัดสูง ในขณะที่สามารถรับแรงดึงได้ต่ำ (ประมาณ…

คอนกรีตผสมเสร็จ “เทใต้น้ำ” ทำได้ไหม

คอนกรีตผสมเสร็จ จัดว่าเป็นหนึ่งในวัสดุก่อสร้างที่เป็นหัวใจสำคัญในงานก่อสร้างทั้งขนาดเล็กจนไปถึงใหญ่ โดยคอนกรีตผสมเสร็จทั่วไปจะมีส่วนผสมหลัก ๆ ตามธรรมชาติก็คือ หิน กรวด และทราย ผสมกับน้ำยาทางเคมีที่ทำให้มีคุณสมบัติเป็นของเหลวในช่วงเวลาหนึ่ง และเกิดการแข็งตัวเป็นโครงสร้างมีแข็งแรงตามแบบที่กำหนดไว้ การใช้งานคอนกรีตผสมเสร็จโดยทั่วไปเรามักจะคุ้นเคยกับงานก่อสร้างตามไซต์งานที่อยู่บนภาคพื้นดินอยู่บ่อยครั้ง หรือถ้าต้องการเทคอนกรีตในบริเวณที่มีน้ำขังก็จะทำการสูบน้ำออกก่อน แล้วถึงเทคอนกรีตภายหลัง แต่เชื่อว่าพี่ ๆ หลายคนคงเคยได้ยินว่า คอนกรีตผสมเสร็จ สามารถเทใต้น้ำได้ ซึ่งจะทำไปทำไม ลองตามมาดูกัน ทำไมต้องเท คอนกรีตผสมเสร็จ ในน้ำ ? อย่างที่บอกว่าโดยทั่วไปเรามักเห็นการใช้งานคอนกรีตผสมเสร็จกับงานก่อสร้างตามภาคพื้นดินที่เห็นด้วยตา ทำให้เราติดภาพและเกิดความคุ้นชินกับการใช้งานคอนกรีตในลักษณะแบบนั้น แต่จะมีงานก่อสร้างบางประเภทที่เราต้องเทคอนกรีตลงไปใต้น้ำ เพราะไม่สามารถสูบน้ำออกไปได้ หรือทำไปแล้วก็ไม่คุ้มค่า ซึ่งจะขอยกตัวอย่างง่าย ๆ เลยก็คืองานตอม่อสะพาน บางครั้งเราก็ต้องเทฐานตอม่อใต้น้ำไปแบบนั้นจริง ๆ ครับ นอกจากงานตอม่อสะพานแล้วก็ยังมีงานเสาเข็มเจาะขนาดใหญ่ อย่างเช่น การก่อสร้างตึกสูง หรือที่คุ้นตาอยู่เป็นประจำในตอนนี้ ก็คือการก่อสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูงนั่นเอง ซึ่งการใช้เสาเข็มใหญ่ขนาดนี้ต้องเจาะพื้นดินไปลึกมาก ๆ จนถึงชั้นที่มีแหล่งน้ำใต้ดิน ข้อจำกัดของการเทคอนกรีตผสมเสร็จใต้น้ำ มีอะไรบ้าง ? โดยปกติการเทคอนกรีตผสมเสร็จในงานทั่วไป จะมีการเข้าไม้แบบ ผูกเหล็ก เทคอนกรีต จี้และปาดปูน แต่ถ้าต้องเทคอนกรีตใต้น้นั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เพราะเราไม่สามารถมองเห็นหรือจัดการกับคอนกรีตด้วยคนใต้น้ำได้ การตรวจสอบในจุดที่เทก็ทำได้ยาก ดังนั้งจึงต้องวางแผนและทำทุกอย่างตามประบวนการให้ถูกต้องอย่างแม่นยำ เพื่อลดปัญหาในขณะเทให้ได้มากที่สุด หากใช้คอนกรีตผสมเสร็จตามที่ใช้อยู่ทั่วไป…

ความสำคัญของคอนกรีต

1.ความสำคัญของคอนกรีต บทนำ                 เนื่องจากปัจจุบันคอนกรีตมีสำคัญกับงานก่อสร้างซึ่งส่งผลต่อการพัฒนาของประเทศ     เมื่อเปรียบเทียบวัสดุก่อสร้างที่ใช้งานในประเภทเดียวกัน เช่น ไม้  ซึ่งเป็นวัสดุก่อสร้างหลักในสมัยก่อนและปัจจุบันไม้เป็นของหายาก พบว่า คอนกรีตมีความคงทน  แข็งแรง  สามารถปรับปรุงส่วนผสมเพื่อให้ตรงกับการใช้งานได้อย่างเหมาะสม  คอนกรีตจึงเป็นวัสดุที่ใช้งานอย่างแพร่หลาย 2.หลักการ คอนกรีต เป็นวัสดุผสมที่นิยมใช้ในงานก่อสร้างประกอบด้วย 3 ส่วนหลักคือ ปูนซีเมนต์ วัสดุผสม (เช่น หิน ทราย หรือ กรวด) และ น้ำ โดยอาจจะมีสารเคมีเติมเพิ่มเข้าไปสำหรับคุณสมบัติด้านอื่น เมื่อผสมเสร็จคอนกรีตจะแข็งตัวอย่างช้าๆ ซึ่งน้ำและซีเมนต์จะทำปฏิกิริยาทางเคมีกันในลักษณะที่เรียกว่าการไฮเดรชัน โดยซีเมนต์จะเริ่มจับตัวกับวัสดุอื่นและแข็งตัว ซึ่งในสถานะนี้จะนิยมเรียกกันว่าคอนกรีต ความแข็งแรงของคอนกรีตจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆหลังจากที่ผสม และยังแข็งแรงขึ้นภายหลังจากการแข็งตัว โดยประมาณหลังจากแข็งตัวแล้ว 28 วัน ความแข็งแรงจะเริ่มคงที่ คอนกรีตมีใช้กันในงานก่อสร้างหลายชนิด ซึ่งรวมถึง อาคาร ถนน เขื่อน สะพาน อนุสาวรีย์ และงานก่อสร้างต่างๆ ซึ่งมีเห็นได้ทั่วไป คุณสมบัติหลักของคอนกรีตคือการรับแรงอัดสูง ในขณะที่สามารถรับแรงดึงได้ต่ำ (ประมาณ 10% ของแรงอัด) โดยเมื่อต้องการให้คอนกรีตสามารถรับแรงดึง จะมีการเสริมวัสดุอื่นเพิ่มเข้าไปในคอนกรีตโดยจะเรียกว่า คอนกรีตเสริมแรง หรือคอนกรีตเสริมเหล็กที่เรียกกัน (โดยเสริมแรงด้วยเหล็ก) วัสดุเหล่านี้จะช่วยรับแรงดึงภายในคอนกรีต ซึ่งงานโครงสร้างอาคารส่วนใหญ่นิยมใช้คอนกรีตเสริมแรงแทนที่คอนกรีตเปลือย นอกจากนี้ในงานก่อสร้างยังมีการใช้วิธีการที่เรียกว่า คอนกรีตอัดแรง โดยทำการใส่แรงเข้าไปในคอนกรีตหล่อสำเร็จที่ หล่อมาจากโรงงาน โดยเมื่อนำไปใช้งาน แรงที่ใส่เข้าไปในคอนกรีตจะหักล้างกับน้ำหนักของตัวคอนกรีตเองและน้ำหนักที่ เพิ่มขึ้นมา ซึ่งวิธีการนี้จะทำให้คอนกรีตสามารถรับน้ำหนักได้เพิ่มมากขึ้น โดยงานสะพานและทางยกระดับ นิยมใช้คอนกรีตอัดแรงคอนกรีต จะมีสัดส่วนปูนซีเมนต์ต่อทราย ต่อหิน ดังนี้ สัดส่วน 1 : 1.5 :…

การใช้เศษโฟมเก่าในคอนกรีตบล็อกประดับ

ปัจจุบันในประเทศไทยมีเศษโฟมเก่าเหลือทิ้งเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นปัญหาทางมลภาวะที่สำคัญของประเทศ หาก สามารถนำเศษโฟมเหลือทิ้งกลับมาใช้ใหม่ จะเป็นการลดปริมาณขยะลงได้ ในการวิจัยครั้งนี้เป็นการนำเศษโฟมเก่ามาผสมกับ คอนกรีตแทนที่มวลรวมหยาบและมวลรวมละเอียด ในการทำคอนกรีตบล็อกประดับ จากผลการวิจัยการผลิตคอนกรีตบล็อกประดับ ปรากฏว่าได้อัตราส่วนที่เหมาะสมคือ ปูนซีเมนต์ : ทราย : โฟม เท่ากับ 1:0.5:4 และ อัตราส่วนน้ำต่อซีเมนต์ 0.5 ความดันประมาณ 275 กก/ซม2 จะได้ความหนาแน่น ประมาณ 1400 กก/ม3 ผล การทดสอบที่อายุ 28 วัน ปรากฏว่า ได้ค่ากำลังอัดเฉลี่ยเท่ากับ 58.92 กก/ซม2 ความหนาแน่นเฉลี่ยเท่ากับ 1416.5 กก/ม3 ค่าการดูดซึมน้ำเฉลี่ยเท่ากับร้อยละ 7.73 และใช้ความดันในการอัดขึ้นรูปที่ 275 กก/ซม2 ผลการทดสอบการนำความร้อน ได้ค่า การนำความร้อนเท่ากับ 0.0367 วัตต์/เมตร.เคลวิน และ ค่าความต้านทานความร้อนเท่ากับ 27.24 เมตร.เคลวิน/วัตต์ จากผลการวิจัยสรุปคุณสมบัติของคอนกรีตบล็อกประดับได้ว่า เป็นวัสดุก่อสร้างผนังที่มีความแข็งแรงสามารถรับน้ำหนัก ได้…